พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี (เกิด: 9 ธันวาคม พ.ศ. 2514) หรือเดิม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ภายหลังได้ลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ อันมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี มีชื่อเล่นว่า อี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2514 เป็นบุตรคนที่สามจากทั้งหมดห้าคน ของอภิรุจ สุวะดี และวันทนีย์ (สกุลเดิม: เกิดอำแพง) พื้นเพเดิมเป็นชาวจังหวัดสมุทรสงคราม บิดาเป็นชาวตำบลวัดประดู่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ส่วนมารดาเป็นชาวมอญจากตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์มีพี่สาวและพี่ชายคือ สุดาทิพย์ ม่วงนวล, ณรงค์ สุวะดี ส่วนน้องสาวและน้องชายคือ ปณิดา สุวะดี และณัฐพล สุวะดี อดีตราชองครักษ์เวร ส่วนพลตำรวจโท พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นน้าของเธอ
ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนวัดสุนทรสถิต (สามัคคีวิทยาคม) ในอำเภอบ้านแพ้ว ระดับประถมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเทศบาลบ้านมหาชัย (อนุกูลราษฎร์) อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดน้อยใน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ภายหลังสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพจากโรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชาการจัดการทั่วไป (หลักสูตร 4 ปี) เมื่อปี พ.ศ. 2540 ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2545 และสำเร็จการศึกษาปริญญาโท หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (คหกรรมศาสตร์) ภาคพิเศษ สาขาวิชาการพัฒนาการครอบครัวและเด็ก คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.94
ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เริ่มเข้าถวายการรับใช้ในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 โดยรับผิดชอบหน้าที่การงานในฐานะข้าราชการพลเรือนในพระองค์ นอกจากนี้ยังได้ถวายงานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในด้านศิลปาชีพ บางแห่งก็ว่าเธอเคยทำงานอยู่ในสถานบันเทิงมาก่อน
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ต่อมาเข้ารับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น "หม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา" เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงกล่าวว่า
ตอนนี้อยู่เป็นครอบครัว มีกันอยู่ 4 คน มีเรา หม่อม พระองค์ภา และท่านหญิง อยู่กับหม่อมมาตั้งแต่ปี 2536 อยู่มานาน รู้จักกันมา 9-10 ปีแล้ว ดูใจกันมานานแล้ว [...] เราอยากจะสร้างครอบครัวขึ้นมาให้ดี หม่อมมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้าน ดูแลข้าราชบริพาร รวมทั้งถวายงานสมเด็จฯ (สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) เราใช้ชีวิตกันแบบสบาย ๆ ไม่มีอะไร [...] เราอายุ 50 ปีแล้ว ไม่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากได้ครอบครัวที่ดี ที่คนพอใจเป็นประโยชน์ คบได้ ไม่ใช่เป็นการเอาอะไรมาใส่ประชาชน แต่ขอให้ประชาชนยอมรับว่าคนนี้ใช้ได้ ถ้าเป็นหม่อมในพระบรมฯ ทุกคนก็ต้องกราบไหว้ มันก็พัง
บิดาและมารดาของเธอรวมทั้งสมาชิกในครอบครัวได้รับพระราชทานนามสกุลจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมารว่า "อัครพงศ์ปรีชา" เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 หม่อมศรีรัศมิ์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าฝ่ายใน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 และได้ประสูติกาลพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระราชโอรส เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2548 ภายในปีนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนา หม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา ขึ้นดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นเจ้านายแห่งราชวงศ์ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2548
วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงขอให้รัฐบาลริบนามสกุลพระราชทานของพระวรชายา ก่อนหน้านั้น มีการกวาดล้างญาติใกล้ชิดของพระองค์ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยทั้งหมดกลับไปใช้สกุลเดิมก่อนพระราชทานคือ "เกิดอำแพง" ต่อมาข้อมูลนามสกุลนั้นผิด เมื่อตรวจสอบแล้วจึงเปลี่ยนให้ใช้ชื่อสกุลว่า "สุวะดี" อันเป็นชื่อสกุลเดิมทีแท้จริง ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ซึ่งสำนักข่าวบีบีซีมองว่า นี่อาจเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การหย่าร้างของทั้งสองพระองค์
วันที่ 12 ธันวาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นลายลักษณ์อักษรว่าขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557 การนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานเงิน 200,000,000 บาท แก่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เพื่อใช้ในการดำรงชีพและดูแลครอบครัว มีข่าวกระทรวงการคลังยืนยันว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารขอรับเงินพระราชทานจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และยังขอความร่วมมือสื่อมวลชนงดเผยแพร่เอกสารที่ไม่เหมาะสมในสื่อทุกชนิด
วันที่ 13 ธันวาคม สังคมออนไลน์ส่งภาพท่านผู้หญิงทำบัตรประชาชนใหม่ต่อ ๆ กัน ศรีรัศมิ์ใช้คำนำหน้านามว่า "นางสาว" และเธอได้ย้ายออกจากวังศุโขทัยไปพำนักอยู่ที่บ้านในอำเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี อย่างไรก็ตามเธอจะมีคำนำหน้านามว่า "ท่านผู้หญิง" เนื่องจากได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า (ฝ่ายใน) ทั้งนี้ มติชนออนไลน์ ได้ให้ข้อมูลว่าเธอได้ลาออกจากการเป็นข้าราชการทหาร วันที่ 17 ธันวาคม เธอได้เขียนจดหมายขอบคุณสื่อมวลชนที่ติดตาม และขอปฏิบัติธรรมเงียบ ๆ กับครอบครัว เนื่องจากมีสื่อมวลชนติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดจนรบกวนการปฏิบัติธรรมของเธอ
พระกรณียกิจส่วนใหญ่ของศรีรัศมิ์ เมื่อครั้งดำรงอิสริยยศเป็น พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมารนั้น จะเน้นในด้านครอบครัวและเด็กเป็นหลัก โดยโครงการแรกของคือ โครงการสายใยรักจากแม่สู่ลูก ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โครงการสายใยรักแห่งครอบครัวในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่รณรงค์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเข้มแข็งในครอบครัว เพิ่มประสิทธิภาพของสถาบันครอบครัว และลดปัญหาสังคมทางหนึ่ง ต่อมาได้มีดำริในการเปิด ศูนย์ ๓ วัยสานสายใยรักแห่งครอบครัว อันจะเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นวงจรทุกช่วงวัย ระหว่างวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรา ให้มีความสัมพันธ์กลมเกลียว
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ประกอบพระกรณียกิจครั้งสุดท้ายก่อนลาออกจากฐานันดรศักดิ์ในพิธีเปิดมหกรรม 9 ปี สายใยรักแห่งครอบครัว เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2557
มีดำริจัดตั้ง ศูนย์ศรีทวีรัก อันมีความหมายว่า "ศูนย์แห่งการแบ่งปันและเพิ่มพูนความรัก" มีหลักการเดียวกับสถานรับเลี้ยงเด็ก แต่เปลี่ยนมาเป็นบริการแก่ผู้สูงอายุแทน โดยให้ลูกหลานนำผู้สูงอายุมาฝากในเวลากลางวันเพื่อไปประกอบอาชีพ ณ ที่นั่นผู้สูงอายุก็จะพบปะกับสหายวัยเดียวกัน บริการผู้สูงวัยอายุระหว่าง 65-80 ปี ให้ได้รับการพักผ่อนอย่างมีความสุขในบั้นปลายชีวิต
มีการสร้าง ศุโขโยคะ ซึ่งเป็นโครงการเสริมสร้างสุขภาพ ณ พื้นที่ควบคุมในพระองค์ 904 ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อปี พ.ศ. 2554 เพื่อให้ข้าราชบริพารและประชาชนทั่วไปได้เข้ามาใช้ประโยชน์ มีระบบการออกกำลังกายแบบ "ไจโรทานิก" (Gyrotonic) โดยกล่าวไว้ว่า "ไปเล่นที่เมืองนอกมา เห็นว่าอะไรดีก็นำเข้ามาให้ประชาชนได้เล่นกัน" ที่สุดศุโขโยคะ ได้ปิดตัวลงในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557
นอกจากนี้มีการจัดตั้ง "กองทุนทีปังกรนภัทรบุตร" ที่นำเงินไปสนับสนุนโครงการที่ช่วยเหลือทารก ซึ่งถือเป็นโครงการที่ผลักดันให้มีการจัดทำนโยบายสาธารณสุขระดับประเทศแก่ทารกวัยตั้งแต่ 0-5 ปี รวมไปถึงการช่วยเหลือทารกที่คลอดก่อนกำหนด และการรณรงค์และป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร
วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ (พระยศในขณะนั้น) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ พลอากาศโท ภักดี แสง-ชูโต นำผ้าห่มกันหนาว 20,000 ผืน ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีกษิต ภิรมย์ เป็นผู้รับมอบ
ในด้านสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น หลังมหาอุทกภัย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ได้ร่วมกิจกรรมฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยด้วยการทำความสะอาดพื้นอาคารและกระจกของอาคารศรีรัศมิ์ ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยก่อนหน้านี้ได้เยี่ยมผู้ประสบภัย และมอบถุงยังชีพแก่ราษฎรในต่างจังหวัด
ทั้งนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ได้อุปการะเด็กกำพร้า คือ จักรกฤษณ์ และอนุเดช ชูศรี ที่ครอบครัวเสียชีวิตจากภูเขาถล่มเมื่อปี พ.ศ. 2554 รวมทั้งครอบครัวของบูรฮาน และบุศรินทร์ หร่ายมณี ซึ่งบิดาถูกลอบสังหารจากเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2556 เป็นต้น